Welcome

Delete this widget from your Dashboard and add your own words. This is just an example!

ช่วงนี้อากาศหนาว เลยเอาวิธีรับมือกับหน้าหนาวมาฝากกัน

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

การดูแลสุขภาพ เพื่อรับมือกับหน้าหนาว
เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วนะครับ ในช่วงฤดูหนาวอาจทำให้หลายท่านป่วยเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ แต่สำหรับบางคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ เมื่อเจออากาศเย็นๆ คงทำให้มีอาการมีแพ้มากขึ้น เช่น จาม น้ำมูกไหล หรือบางคนที่เป็นโรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว ก็อาจมีอาการหอบมากขึ้นได้ โดยเฉพาะยิ่งถ้าติด ไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ร่วมด้วย คงแย่แน่เลยครับ เพราะฉะนั้น การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าสุขภาพดี จะลดโอกาสการเจ็บป่วยลง ลองปฏิบัติตาม 8 วิธี ในการดูแลสุขภาพ เพื่อรับมือกับช่วงหน้าหนาวกัน
          1. ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่  ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

          2. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จาน ชาม ช้อน เป็นต้น

          3. อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท ไม่เข้าไปในที่แออัด

          4. หากเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ควรมีผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม และไม่คลุกคลีกับผู้อื่นและหมั่นล้างมือบ่อย ๆ

          5. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่าง ๆ เนื่องจากอาจทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย

          6. ล้างมือบ่อย ๆ เนื่องจากเราอาจไปสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ตามสิ่งของต่าง ๆ เช่น ราวบันได ลูกบิด ประตู แก้วน้ำ เป็นต้น โดยล้างมือด้วยสบู่ธรรมดา 15-20 วินาที หรือใช้น้ำยา ล้างมืออื่น ๆ 

          7. รักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ในที่ที่หนาวมากควรสวมหมวกเพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย

          8. ดูแลเรื่องผิวหนัง โดยการทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ถ้าอากาศหนาวมาก ไม่อาบน้ำนาน ๆ ในที่ที่หนาวมาก หลังอาบน้ำควรทาโลชั่นหรือน้ำมันทาผิว ในกรณีที่มีปัญหาริมฝีปากแตก ควรทาด้วยลิปสติกมันและไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อย ๆ



ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของโรงพยาบาลวิภาวดีกับเว็บไซต์วิชาการดอทคอม
โดย นพ.ชิดเวทย์ วรเพียรกุล อายุรแพทย์ 
http://www.vibhavadi.com/ 

10 อันดับ Website ที่เปลี่ยนแปลงโลก

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

Google
 WikiLeaks
อันดับที่ 10 ตกเป็นของ WikiLeaks website ที่เปิดโปงจนหมดไส้หมดพุง  
  craigslist.org
อันดับที่ 9 ตกเป็นของ craigslist.org ปากต่อปาก แบบฉบับความสำเร็จธุรกิจดอทคอม  
  Amazon
อันดับที่ 8 ตกเป็นของ Amazon สื่อกลางการค้าขายที่มใหญ่ที่สุด 
  Twitter
อันดับที่ 7 ตกเป็นของ Twitter social network ที่เน้นการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร  
  Napster
อันดับที่ 6 ตกเป็นของ Napster  
  ebay
อันดับที่ 5 ตกเป็นของ ebay พลิกโฉมการค้าขาย online ไปอย่างสิ้นเชิง  
  Youtube
อันดับที่ 4 ตกเป็นของ Youtube ผลิกโฉมการแชร์ Vdo คลิบ แบบเก่า เคยมีคนคำนวนเล่นๆว่าถ้าจะดู Vdo บนYoutubeให้หมดต้องใช้เวลาหลายร้อยปี !!!  
  Facebook

อันดับที่ 3 ตกเป็นของ Facebook social network ที่พลิกโฉมการหาเพื่อน online ไปอย่างสิ้นเฉิง 

  Wikipedia

อันดับที่ 2 ตกเป็นของ Wikipedia สาราณุกรมที่มีทุกภาษาทั่วโลก 

  Google

อันดับที่ 1 ตกเป็นของ Google เว็บไซด์ที่เปลี่ยนโฉมการค้นหาข้อมูล และการลงโฆษณาต่างๆ มากมาย และในอนาคตคาดว่า google จะครองโลก (ฮา)





สุดซึ้ง! เด็กวัย 13 สละชีวิตตัวเองเพื่อน้องชาย

สุดซึ้ง! เด็กวัย 13 สละชีวิตตัวเองเพื่อน้องชาย


จอร์แดน
จอร์แดน



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก hiyalouise.blogspot.com

          เมื่อวันที่ 14 มกราคม เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า เกิดเหตุเศร้าสลดปนซึ้งขึ้นในเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย เมื่อเด็กชายวัย 13 ปี สละชีวิตให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยเหลือน้องชายวัย 10 ขวบ ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติน้ำท่วม ก่อนตัวเองจะถูกกระแสน้ำพัดเสียชีวิต

          เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยเมืองบริสเบนนำกำลังเข้าช่วยชีวิตสามแม่ลูกที่ติดอยู่บนหลังคารถ และกำลังจะถูกกระแสน้ำเชี่ยวกราดพัดไป โดยสามารถช่วยชีวิตไว้เพียง 1 ชีวิตเท่านั้น คือ เบลค เด็กชายวัย 10 ขวบ ลูกชายคนเล็กของครอบครัวไรซ์ ขณะที่จอร์แดน พี่ชายคนกลางและดอนน่าผู้เป็นแม่ได้ถูกน้ำพัดไปเสียชีวิต
          หลังเกิดเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้เปิดเผยว่า เมื่อทีมกู้ภัยรุดเข้าให้ความช่วยเหลือครอบครัวไรซ์ซึ่งติดอยู่บนหลังคารถ ที่กำลังถูกนำพัดไป จอร์แดนซึ่งเป็นพี่ได้ร้องตะโกนให้ทางเจ้าหน้าที่ช่วยชีวิตน้องชายและแม่เขาก่อน แล้วค่อยช่วยเหลือเขาเป็นคนสุดท้าย โดยจอร์แดนได้ร้องบอกเจ้าหน้าที่อยู่ซ้ำ ๆ ว่า "ช่วยชีวิตน้องผมก่อนครับ" ทางเจ้าหน้าที่จึงได้อุ้มน้องชายจอร์แดนออกมาก่อนอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากจอร์แดนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้ช่วยเหลือน้องแล้ว เขาก็ได้ร้องตะโกนต่อไปอีกว่า"ได้โปรดช่วยชีวิตแม่ผมด้วยครับ" และนั่นคือประโยคสุดท้ายที่ทีมกู้ภัยได้ยินก่อนที่จอร์แดนและแม่จะถูกกระแสน้ำเชี่ยวกราดพัดไปในที่สุด ท่ามกลางความเศร้าสลดของทีมกู้ภัยที่พยายามเข้าช่วยเหลือแต่ไม่ทัน
น้ำท่วมออสเตรเลีย


          จากเหตุการณ์นี้ จอห์น ไทสัน พ่อของจอร์แดน ได้เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า จอร์แดนว่ายน้ำไม่เป็นและกลัวน้ำมาก ๆ แต่ในช่วงเกิดเหตุ จอร์แดนกลับยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อให้น้องชายได้มีชีวิตรอดปลอดภัย ขณะที่ดอนน่า ภรรยาของเขาก็พยายามช่วยชีวิตจอร์แดนไว้ขณะที่ทั้งคู่เกาะอยู่บนเชือกช่วยชีวิต ซึ่งแม้ว่าจอร์แดนจะเฝ้าร้องตะโกนให้เจ้าหน้าที่ช่วยชีวิตแม่ก่อน ดอนน่าเองก็พยายามประคองชีวิตลูกชายไว้เช่นกัน แล้วทั้งสองก็ถูกน้ำพัดไป ซึ่งตอนนี้ แม้ว่าเขาจะสูญเสียทั้งภรรยาและลูกชายคนกลางไปแล้ว แต่เขาก็รู้สึกซาบซึ้งที่ลูกชายเขายอมสละชีวิตเพื่อน้องชายอย่างนั้น ขณะที่ในใจก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ไม่หาย
          ถึงแม้ว่าทางทีมกู้ภัยจะไม่สามารถช่วยชีวิตครอบครัวของเขาออกมาได้ทั้งหมด แต่ จอห์น ไทสัน ก็ได้โทรศัพท์ไปกล่าวขอบคุณทีมกู้ภัยที่พยายามเข้าช่วยเหลือครอบครัวของเขาจนสุดความสามารถแล้ว ขณะที่ทีมกู้ภัยเองก็เฝ้าขอโทษเขาที่ไม่สามารถช่วยชีวิตภรรยาและลูกชายของเขาไว้ได้

          หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกเปิดเผยไปตามอินเทอร์เน็ตและแหล่งข่าวต่าง ๆ ทำให้ผู้คนทั่วโลกยกย่องจอร์แดน ให้เป็นเด็กชายที่เข้มแข็งและเป็นพี่ชายที่แสนดีที่สุดในโลก แม้ว่าจอร์แดนจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เขาก็เป็นฮีโร่ในใจใครหลาย ๆ คน อีกทั้งเรื่องราวของเขาก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้คนทั่วโลกเสียน้ำตาได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว






ปรากฏการณ์ "ไอทีกลายพันธุ์" แห่งปี 2011

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554



ปรากฏการณ์ "ไอทีกลายพันธุ์" แห่งปี 2011


ในทุกๆ ปีช่วงแห่งการเปลี่ยนปีสู่ปีใหม่ ย่อมมีการคาดการณ์ต่างๆ นานาออกมาให้ผู้คนทั่วโลกได้จับกระแสและเกาะติดไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนของไอทีเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวด เร็ว อะไรคือสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น อะไรคือสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตลาด อะไรคือสิ่งที่จะสร้างผลกระทบ เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้
     

 
      อินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์เปอร์เรชั่น หรือไอดีซี ได้มีการระบุถึง 10 แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปี 2554 ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวแปรสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปีนี้
      
      1.แอปพลิเคชั่น Socialytic จะเปลี่ยนตลาด
      
      ไอดีซี คาดว่าในปี 2554 จะเป็นปีที่มีแนวโน้มของการประสานกันระหว่าง social media กับ business analytical ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มให้กับบรรดาแอปพลิเคชั่นหลักๆ สำหรับองค์กรที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน แอปพลิเคชั่นต่างๆ กำลังเริ่มที่จะฝังตัวเรื่องของ unified communications และ social media ไว้กับการทำงานปัจจุบัน และไอดีซีคาดว่า แอปพลิเคชั่นทางธุรกิจทุกประเภทกำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของระบบโครง สร้างการทำงาน ด้วยการรวมซอฟต์แวร์ด้าน social/collaboration และงานด้านการวิเคราะห์ เข้าไปเป็นหน่วยหนึ่งในแอปพลิเคชั่นทางธุรกิจที่ใช้งานมาดั้งเดิม ในปี 2554 นี้
      
      2.Mobilution-Mobility
      
      Mobilution-Mobility จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดไอที ไอดีซี กำลังเห็นสิ่งที่จะเรียกได้ว่า “มหาพายุ (perfect storm)” ที่เกิดจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีหลายประเภทที่รวมตัวกัน ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเรื่อง mobility แท็บเลต มีเดียแท็บเลต อย่างไอแพด และสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ และเทคโนโลยี cloud computing จะลดความสำคัญของงานประมวลผลที่ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ สิ่งนี้จะทำให้ “ทุกสิ่งทุกอย่าง” กลายเป็น mobile อย่างจริงจัง
      
      3.“จ่ายน้อยยุ่งยากน้อย-Less for Less”
      
      พอร์ทัลสำหรับให้ลูกค้าใช้บริการด้วยตนเองจะเป็นหัวหอกในการนำเสนอ บริการราคาประหยัดที่ยึดเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง ทั้งนี้ ภาวการณ์แข่งขันในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจไหนก็ตาม คาดว่าจะทวีความเข้มข้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้ จากเหตุผลดังกล่าว องค์กรธุรกิจจำนวนมากจะพบงานหนักกว่าที่เคยพบมาในการสร้างความแตกต่างเฉพาะ ตัวของตนเองเพื่อเป็นจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจให้เกิดขึ้นในตลาด ไอดีซี คาดว่า การมองลูกค้าเป็นตัวตั้ง การปรับเปลี่ยนสินค้าหรือบริการไปตามสภาพของตลาดที่เปลี่ยนไป จะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กรต่างๆ บทบาทของการให้บริการด้วยตนเอง (self-service) ที่เป็นการใช้งานผ่านเว็บไซต์จะกลายเป็นเรื่องสำคัญ จากแนวคิดของ “จ่ายน้อยยุ่งยากน้อย”
      
      4.Analytics ตัวเร่งพฤติกรรมการบริโภค
      
      Analytics จะช่วยเร่งการติดตามพฤติกรรมการบริโภคในเอเชีย การแข่งขันที่คาดว่าจะทวีความเข้มข้นในเอเชียในอีก 3-5 ปีข้างหน้าจากธุรกิจจำนวนมากที่กำลังมุ่งเข้าตลาดในภูมิภาคนี้ซึ่งเป็นตลาด ที่มีศักยภาพในการเติบโต จากเหตุผลในเรื่องของความสามารถในการพัฒนาวิธีการตัดสินใจและช่วยส่งเสริม ให้รายได้เพิ่มสูงขึ้น การวิเคราะห์ต่างๆ ด้านธุรกิจถูกคาดว่าจะเคลื่อนเข้าสู่ระยะกลางสำหรับบรรดาซีไอโอ ในปี 2554 เมื่อเทคโนโลยีนี้กำลังถูกมองว่าเป็นตัวช่วยองค์กรต่างๆ เพื่อความสามารถในการแข่งขันได้
      
      5.Apple’s iPad จะยิ่งแพร่หลาย
      
      Apple’s iPad จะได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในเรื่อง client virtualization ซีไอโอของแต่ละองค์กรกำลังถูกโน้มน้าวให้ผลิตภัณฑ์ของ Apple สามารถเชื่อมต่อเข้าไประบบไอทีขององค์กรและสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความ ลับได้ โซลูชั่น client virtualization จะช่วยใช้งานที่เป็นเวอร์ชวลไลซ์ไม่เพียงแค่ทำให้สามารถเข้าไปใช้งานแอปพลิ เคชั่นต่างๆ ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงระบบปฏิบัติการ ไอดีซีคาดว่าการใช้งานอย่างแพร่หลายของ client virtualization จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
      
      6.การให้บริการและการจัดตั้งสมาพันธ์
      
      การให้บริการและการจัดตั้งสมาพันธ์จะเป็นตัวโน้มน้าวให้เกิดการใช้ งาน cloud ในระดับองค์กร การเริ่มต้นของเทคโนโลยีและบริการ private cloud สำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2554 ไอดีซี คาดว่า ความสามารถในการผสานรวมแอปพลิเคชั่นหรือบริการจาก cloud กับแอปพลิเคชั่นหรือบริการจากหน่วยงานไอทีขององค์กร หรือกับบริการจากผู้ให้บริการ cloud อีกรายหนึ่งนั้นจะเป็นได้ทั้งแรงบวกหรือลบสำหรับการนำ cloud มาใช้ในองค์กร
      
      7.องค์กรธุรกิจจะเริ่มทำแค็ตตาล็อก
      
      องค์กรธุรกิจที่ทันสมัยจะเริ่มทำแค็ตตาล็อกบนพื้นฐานเกี่ยวกับไอที (catalog-based IT) ผลจากการที่เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ได้กลับมาฟื้นตัวและธุรกิจต่างๆ ก็กำลังเติบโต ไอดีซี คาดว่า มากกว่าร้อยละ 50 ขององค์กรธุรกิจสัญชาติเอเชียขนาดกลางถึงใหญ่จะกำลังถูกให้สร้างหรือเริ่ม ที่จะถูกให้สร้างแค็ตตาล็อกบนพื้นฐานไอซีที ในปี 2554
      
      8.Business-as-a-Service
      
      Business-as-a-Service เป็นคำตอบสำหรับการผสานระหว่างไอทีกับธุรกิจเข้าด้วยกัน โดยเป็นการนำเสนอบริการที่เน้นไปในเรื่องของขั้นตอนดำเนินธุรกิจมากกว่าการ นำเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ มันเป็นแนวโน้มที่แสดงถึงความสำคัญและผลกระทบที่ไม่ใช่แค่เรื่องไอทีเท่า นั้น แต่ยังรวมไปถึงเรื่องการเอาต์ซอร์สขั้นตอนการดำเนินธุรกิจทั้งหมด ไอดีซี เชื่อว่า แนวโน้มดังกล่าวนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปี 2554
      
      9.ผู้ให้บริการโทรคมนาคมกลับมาตลาดไอที
      
      ไอดีซีเชื่อว่าผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะไม่หันหลังให้กับโอกาสสำหรับ โซลูชั่น private cloud ที่องค์กรต่างๆ จะลงทุนเอง ตลาดนี้คาดว่าจะมีมูลค่าราว 752 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2554 และคาดว่าจะสูงถึง 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557
      
      10.ผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะมองหา Cloud
      
      ไอดีซีระบุว่าผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะมองหาเทคโนโลยี cloud เพื่อใช้ในการดำเนินงาน ซึ่งนอกเหนือไปจากการพูดคุยกันในเรื่องเดิมๆ ที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต กำลังเร่งนำเสนอบริการ cloud ให้กับผู้ใช้งานที่เป็นบุคคลทั่วไป หรือองค์กรธุรกิจ แต่กลับมีกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมย่อยที่เกิดใหม่และน่าจับตามอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบริการไอที โดยผู้จัดหาอุปกรณ์เครือข่าย กำลังจัดหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคม ซึ่งจะทำหน้าที่ในการแปลงผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี หรือการให้บริการเหล่านี้ไปสู่การให้บริการ cloud
      
      การคาดการณ์ 10 อันดับแนวโน้มที่สำคัญประจำปีของธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ในภูมิภาคเอเชีย โดย ไอดีซี นั้นได้จัดทำขึ้นจากงานวิจัยล่าสุดของไอดีซีและการระดมสมองของนักวิเคราะห์ ที่ประจำทั่วโลกมากกว่า 1,000 คน สามารถชี้ให้เห็นเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ได้เป็นอย่างดี

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ
เรียบเรียงโดย: Laptop Price
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: Broadband Internet Software Video Game







http://www.thai108board.com/index.php?topic=457.0

แนวโน้มเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกปี 2011


แนวโน้มเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกปี 2011




ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ไอเดียที่ใช้มองโลกเทคโนโลยีในปี 2011 นั้น มาจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้วทำให้นึกถึงหนังสือ 2 เล่มที่ตีพิมพ์มาแล้วนานกว่า 10 - 15 ปี นั่นคือ Being Dgital ของ Nicolas Negroponte (1995) และ The Invisible Computer (1999) โดยเฉพาะการที่ชีวิตวันนี้ของเราเข้าสู่ยุคดิจิตอลอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งเพื่อนเรายังกลายเป็น"พิกเซล" (บิทข้อมูล) ในโซเซียลเน็ตเวิร์กอย่าง FaceBook และ Twitter เลย ขณะเดียวกัน คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้ย้ายเข้าไปอยู่ในมือถือ หรือแท็บเล็ตที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถเรียนรู้ใช้งานได้ด้วยตนเอง แทนที่จะต้องเป็นเหล่าบรรดา Geek หรือ nerd ทั้งหลายอย่างเช่นในอดีต
ในปี 2010 ที่จะผ่านไป ผู้บริโภคได้รู้จักกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ที่ไม่ได้มีหน้าจอกับคีย์บอร์ดแบบโน้ตบุ๊ค หรือเน็ตบุ๊คที่เริ่มเสื่อมความนิยมลงไปแล้ว แต่กลับให้ความสนใจกับอุปกรณ์ที่มีแต่"หน้าจอ"ทำงานในระบบสัมผัสแทนการใช้คีย์บอร์ดที่เรียกว่า "แท็บเล็ต" โดยมีพระเอกตัวพ่อก็คือ iPad จาก Apple ซี่งในปีหน้า"แท็บเล็ต"จากเหล่าบรรดาผู้ผลิตพีซีจะแห่เข้ามาในตลาดมากมาย โดยมีทั้งแพลตฟอร์ม Android ของ Google และ Windows 7 ของ Microsoft ในขณะที่สมาร์ทโฟนเติบโตอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้มีเฉพาะ iPhone เท่านั้น แต่ยังมี Android Phone จากผู้ผลิตหลายราย ก่อนที่จะถึงคิว Windows Phone 7 ที่มาช้า ยังดีกว่าไม่มา :D ผู้บริโภคจะคุ้นชินกับการใช้สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Smart TV ที่เป็นการรวมตัวระหว่าง TV กับคอมพิวเตอร์อีกด้วย เอาเป็นว่า มันมีแนวโน้มอะไรในปี 2011 ที่น่าสนใจบ้างไปติดตามกันได้เลยครับ
  1. ผู้ใช้จะหันมาใช้ Smart Phone (ที่เก่งขึ้นทุกวัน) กับ Tablet ที่พกพาสะดวก ใช้ง่าย แทนโน้ตบุ๊ค/เน็ตบุ๊ค มากขึ้น... ผู้ใช้ยุคปัจจุบันเรียกว่า screenager คือ ผู้ที่อยู่กับจอวันละหลายๆ ชั่วโมง โดยเฉพาะการใช้เน็ตที่เฉลี่ย 3 - 5 ชม.ต่อวัน
  2. "แท็บเล็ต" กินตลาดเน็ตบุ๊ค/โน้ตบุ๊ค ผู้ใช้ที่เน้นการรับชมข้อมูลมากกว่าพิมพ์ โดยส่วนใหญ่ใช้แค่ อีเมล์ โซเชียลเน็ตเวิร์ก ท่องเว็บ ดูยูทูบ เล่นเกมส์ง่ายๆ ฯลฯ จะรู้สึกว่าแท็บเล็ต"ตอบโจทย์กว่าทั้งความสะดวกสบาย ขนาด และน้ำหนัก
  3. Smart Phone จะเริ่มเปลี่ยนบทบาทไปเป็น"กระเป๋าเงิน"ด้วยเทคโนโลยี NFC (Near Field Communication)
  4. เน็ตบุ๊ค จะเหมาะกับใช้บริการเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบ Cloud เพราะไม่ต้องแรง แต่สามารถใช้บริการของ Cloud เพื่อโหลดแอพฯ ใช้พลังประมวลผล ตลอดนเก็บข้อมูลส่วนตัว+งานไว้บนเน็ต
  5. เทคโนโลยี 3D แบบไม่ใช้แว่นที่จะมีตั้งแต่ TV ขนาดใหญ่ไปจนถึงอุปกรณ์พกพา อย่างเช่น สมาร์ทโฟน 3D เป็นต้น
  6. นอกจากจะมีอณาจักร WinTel (Windows + Intel) แล้ว ในปีหน้าโลกจะรู้จักอณาจักร Android-Arm ซึ่งเป็นการจับคู่ของแพลตฟอร์ม Android กับชิปที่ใช้สถาปัตยกรรม Arm ดังที่พบในแท็บเล็ตหลายๆ รุ่น
  7. E-Book, Digital Magazine และ Print (สิ่งพิมพ์) จะอยู่ผสมกันแบบ Hybrid ผู้บริโภคสามารถรับข้อมูลทั้งในเวอร์ชันที่เป็นกระดาษ และดิจิตอลบนแท็บเล็ต (สมาร์ทโฟน และพีซี) เพิ่มขึ้น อย่างเช่นที่เราพบเห็นนิตยสาร และสิ่งพิมพ์นับสิบหัวขึ้นไปให้บริการใน iPad แล้ว เป็นต้น
  8. Mobile apps, Mobile Virus การใช้โมบายแอพฯจะนิยมากขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่า ไวรัส มัลแวร์ ต่างๆ ก็จะพุ่งเป้ามาที่มือถือของคุณด้วย
  9. Smart TV หรือ TV ที่ทำได้ตั้งแต่ชมรายการในรูปแบบ 2D และ 3D ตลอดจนเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ต เรียกได้ว่า เป็นการรวมสิ่งที่มนุษย์โลกวันนี้ติดงอมแงม (addict) นั่นก็คือ TV กับ Internet ให้อยู่ในจอเดียวกันได้นั่นเอง
  10. Social Network ในปี 2011 เราจะเห็นการใช้ Facebook เพื่อการทำงาน (เปิดเอกสาร Office ได้) รวมไปถึงการซื้อสินค้า และบริการต่างๆ โดยอาศัยคำแนะนำจากเพื่อนๆ ในเครือข่ายสังคมดิจิตอล
ข้างล่างนี้เป็นพรีเซนเทชั่นบางส่วนที่นำมาฝากกันครับ ขออวยพรให้ผู้อ่านของเว็บไซต์ arip ทุกท่านจงมีความสุข พลานามัยแข็งแรง มีแฟนน่ารักกันทุกคนนะครับ Happy New Year 2011



http://www.arip.co.th/news.php?id=412900



โทษของอินเทอร์เน็ต

โทษของอินเทอร์เน็ต       
       - โทษของอินเทอร์เน็ต มีหลากหลายลักษณะ ทั้งที่เป็นแหล่งข้อมูลที่เสียหาย, ข้อมูลไม่ดี ไม่ถูกต้อง, แหล่งประกาศซื้อขาย
ของผิดกฏหมาย, ขายบริการทางเพศ ที่รวมและกระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์ต่างๆ 
         - อินเทอร์เน็ตเป็นระบบอิสระ ไม่มีเจ้าของ ทำให้การควบคุมกระทำได้ยาก 
         - มีข้อมูลที่มีผลเสียเผยแพร่อยู่ปริมาณมาก 
         - ไม่มีระบบจัดการข้อมูลที่ดี ทำให้การค้นหากระทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร 
         - เติบโตเร็วเกินไป 
         - ข้อมูลบางอย่างอาจไม่จริง ต้องดูให้ดีเสียก่อน อาจถูกหลอกลวง-กลั่นแกล้งจากเพื่อน 
         - ถ้าเล่นอินเทอร์เน็ตมากเกินไปอาจเสียการเรียนได้ 
         - ข้อมูลบางอย่างก็ไม่เหมาะกับเด็กๆ 
         - ขณะที่ใช้อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์จะใช้งานไม่ได้ (นั่นจะเป็นเฉพาะการต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial up แต่ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะสามารถใช้งานโทรศัพท์ที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วย) 
         - เป็นสถานที่ที่ใช้ติดต่อสื่อสาร เพื่อก่อเหตุร้าย เช่น การวางระเบิด หรือล่อลวงผู้อื่นไปกระทำชำเรา 
         - ทำให้เสียสุขภาพ เวลาที่ใช้อินเตอร์เนตเป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว 
 
โรคติดอินเทอร์เน็ต 
         โรคติดอินเทอร์เน็ต (Webaholic) เป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งนักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S Young ได้ศึกษาและวิเคราะห์ไว้ว่า บุคคลใดที่มีอาการดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 ประการ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แสดงว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต
         - รู้สึกหมกมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อเข้าระบบอินเทอร์เน็ต 
         - มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตได้ 
         - รู้สึกหงุดหงิดเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง หรือหยุดใช้ 
         - คิดว่าเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว ทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น 
         - ใช้อินเทอร์เน็ตในการหลีกเลี่ยงปัญหา 
         - หลอกคนในครอบครัว หรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตของตนเอง 
         - มีอาการผิดปกติเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต เช่น หดหู่ กระวนกระวาย 
        ซึ่งอาการดังกล่าว ถ้ามีมากกว่า 4 ประการในช่วง 1 ปี จะถือว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบร่างกาย 
ทั้งการกิน การขับถ่าย และกระทบต่อการเรียน สภาพสังคมของคนๆ นั้นต่อไป
 
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ 
         เทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้จะช่วยอำนวยความสะดวกได้มากเพียงใดก็ตาม สิ่งที่ต้องยอมรับความจริงก็คือ เทคโนโลยีทุกอย่างมีจุดเด่นและข้อด้อยของตนทั้งสิ้น ทั้งที่มาจากตัวเทคโนโลยีเอง และมาจากปัญหาอื่นๆ เช่น บุคคลที่มีจุดประสงค์ร้าย 
ในโลก cyberspace อาชญากรรมคอมพิวเตอร์เป็นปัญหาหลักที่นับว่ายิ่งมีความรุนแรง เพิ่มมากขึ้น ประมาณกันว่ามีถึง 230% ในช่วงปี 2002 และแหล่งที่เป็นจุดโจมตีมากที่สุดก็คือ อินเทอร์เน็ต นับว่ารุนแรงกว่าปัญหาไวรัสคอมพิวเตอร์เสียด้วยซ้ำ 
หน่วยงานทุกหน่วยงานที่นำไอทีมาใช้งาน จึงต้องตระหนักในปัญหานี้เป็นอย่างยิ่ง จำเป็นต้องลงทุนด้านบุคลากรที่มีความ
เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย ระบบซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพ การวางแผน ติดตาม และประเมินผลที่ต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
         
แต่ไม่ว่าจะมีการป้องกันดีเพียงใด ปัญหาการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ก็มีอยู่เรื่อยๆ ทั้งนี้ระบบการโจมตีที่พบบ่อยๆ ได้แก่
         - Hacker & Cracker อาชญากรที่ได้รับการยอมรับว่ามีผลกระทบต่อสังคมไอทีเป็นอย่างยิ่ง 
         - บุคลากรในองค์กร หน่วยงานใดที่ไล่พนักงานออกจากงานอาจสร้างความไม่พึงพอใจให้กับพนักงานจนมาก่อปัญหาอาชญากรรมได้เช่นกัน 
         - Buffer overflow เป็นรูปแบบการโจมตีที่ง่ายที่สุด แต่ทำอันตรายให้กับระบบได้มากที่สุด โดยอาชญากรจะอาศัย
ช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ และขีดจำกัดของทรัพยากรระบบมาใช้ในการจู่โจม การส่งคำสั่งให้เครื่องแม่ข่ายเป็นปริมาณมากๆ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้เครื่องไม่สามารถรันงานได้ตามปกติ หน่วยความจำไม่เพียงพอ จนกระทั่งเกิดการแฮงค์ของระบบ เช่นการสร้างฟอร์มรับส่งเมล์ที่ไม่ได้ป้องกัน ผู้ไม่ประสงค์อาจจะใช้ฟอร์มนั้นในการส่งข้อมูลกระหน่ำระบบได้ 
         - Backdoors นักพัฒนาเกือบทุกราย มักสร้างระบบ Backdoors เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน ซึ่งหากอาชญากรรู้เท่าทัน ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก Backdoors นั้นได้เช่นกัน 
         - CGI Script ภาษาคอมพิวเตอร์ที่นิยมมากในการพัฒนาเว็บเซอร์วิส มักเป็นช่องโหว่รุนแรงอีกทางหนึ่งได้เช่นกัน 
         - Hidden HTML การสร้างฟอร์มด้วยภาษา HTML และสร้างฟิลด์เก็บรหัสแบบ Hidden ย่อมเป็นช่องทางที่อำนวย
ความสะดวกให้กับอาชญากรได้เป็นอย่างดี โดยการเปิดดูรหัสคำสั่ง (Source Code) ก็สามารถตรวจสอบและนำมา
ใช้งานได้ทันที 
         - Failing to Update การประกาศจุดอ่อนของซอฟต์แวร์ เพื่อให้ผู้ใช้นำไปปรับปรุงเป็นทางหนึ่งที่อาชญากร นำไป
จู่โจมระบบที่ใช้ซอฟต์แวร์นั้นๆ ได้เช่นกัน เพราะกว่าที่เจ้าของเว็บไซต์ หรือระบบ จะทำการปรับปรุง (Updated) ซอตฟ์แวร์ที่มีช่องโหว่นั้น ก็สายเกินไปเสียแล้ว 
         - Illegal Browsing ธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต ย่อมหนีไม่พ้นการส่งค่าผ่านทางบราวเซอร์ แม้กระทั่งรหัสผ่านต่างๆ ซึ่งบราวเซอร์บางรุ่น หรือรุ่นเก่าๆ ย่อมไม่มีความสามารถในการเข้ารหัส หรือป้องกันการเรียกดูข้อมูล นี่ก็เป็นอีกจุดอ่อนของธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้เช่นกัน 
         - Malicious scripts จะมีการเขียนโปรแกรมไว้ในเว็บไซต์ แล้วผู้ใช้เรียกเว็บไซต์ดูบนเครื่องของตน อย่างมั่นใจ
หรือว่าไม่เจอปัญหาอะไร อาชญากรอาจจะเขียนโปรแกรมแฝงในเอกสารเว็บ เมื่อถูกเรียก โปรแกรมนั้นจะถูกดึงไปประมวลผลฝั่งไคลน์เอ็นต์ และทำงานตามที่กำหนดไว้อย่างง่ายดาย โดยที่ผู้ใช้จะไม่ทราบว่าตนเองเป็นผู้สั่งรันโปรแกรมนั้นเอง 
         - Poison cookies ขนมหวานอิเล็กทรอนิกส์ ที่เก็บข้อมูลต่างๆ ตามแต่จะกำหนด จะถูกเรียกทำงานทันทีเมื่อมีการเรียกดูเว็บไซต์ที่บรรจุคุกกี้ชิ้นนี้ และไม่ยากอีกเช่นกันที่จะเขียนโปรแกรมแฝงอีกชิ้น ให้ส่งคุกกี้ที่บันทึกข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้ส่งกลับไปยังอาชญากร 
         - ไวรัสคอมพิวเตอร์ ภัยร้ายสำหรับหน่วยงานที่ใช้ไอทีตั้งแต่เริ่มแรก และดำรงอยู่อย่างอมตะตลอดกาล ในปี 2001 
พบว่าไวรัส Nimda ได้สร้างความเสียหายได้สูงสุด เป็นมูลค่าถึง 25,400 ล้าบบาท ในทั่วโลก ตามด้วย Code Red, Sircam, LoveBug, Melissa ตามลำดับที่ไม่หย่อนกว่ากัน 
         ปัญหาของโลกไอที มีหลากหลายมาก การทำนายผลกระทบที่มีข้อมูลอ้างอิงอย่างพอเพียง การมีทีมงานที่มีประสิทธิภาพ การวางแผน ติดตาม ประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ คงจะช่วยให้รอดพ้นปัญหานี้ได้บ้าง